คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับมนต์ขลัง “ตำนานเบอร์ 7”
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับมนต์ขลัง “ตำนานเบอร์ 7” แห่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น หมายเลขเสื้อที่เป็นเหมือนดาบสองคม ทั้งเป็นความหวัง เป็นพลังใจ และเป็นแรงกดดัน
ตำนานระดับโลก
หากคุณเป็นแฟนฟุตบอล ดูฟุตบอลมาระดับนึง คุณจะรู้ว่าแต่ละทีมฟุตบอลแต่ละทีมจะมีเหล่านักเตะซุปเปอร์สตาร์ของตัวเอง ที่เป็นทั้งขวัญใจของแฟนๆ เป็นตัวความหวัง และทรงอิทธิพลต่อทีม คุณจะสามารถตอบตัวเองได้ทันทีเลยว่า กระผมกำลังหมายถึงเบอร์เสื้อหมายเลข 10 นั่นเอง ยอดนักฟุตบอลระดับตำนานหลายคนที่โด่งดังและประสบความสำเร็จในยุคก่อนอย่าง เปเล่ หรือมาราโดน่า หรือแม้กระทั่งโรแบร์โต้ บัจโจ้, ซิเนอดีน ซีดาน ไล่มาจนถึงฟรานเชสโก้ ต๊อตติ และยอดดาวเตะระดับแถวหน้าในยุคปัจจุบันอย่างลีโอเนล เมสซี่ ก็ล้วนเป็นเจ้าของเบอร์เสื้อหมายเลข 10
ความเป็นยูไนเต็ด
แต่สำหรับสโมสรฟุตบอลย่านซัลฟอร์ดแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับไม่เป็นเช่นนั้น หมายเลขเสื้อที่เป็นตำนาน และมีสตอรี่เล่าขานกันมาอย่างช้านานหลายยุคหลากสมัยกลับเป็นเบอร์ 7
ก่อนอื่นต้องยอมรับก่อนว่าสโมสรแห่งนี้ไม่ใช่สโมสรที่ประสบความสำเร็จในระดับยุโรปในรายการยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกหรือชื่อเดิมยูโรเปี้ยน คัพมากมายนัก เมื่อเทียบกับเรอัล มาดริด (แชมป์ยุโรป 13 สมัย), เอซี มิลาน (7 สมัย), บาเยิร์น มิวนิค และลิเวอร์พูล (6 สมัย) ในขณะที่แมนยูไนเต็ดเป็นแชมป์รายการนี้ได้เพียง 3 ครั้ง (ปี 1968, 1999, 2008) เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะเวลา 50 ปีหลัง โดยเฉพาะในยุครุ่งเรืองภายใต้การคุมทีมของเซอร์ แมตต์ บัสบี้และ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แมนยูไนเต็ดแทบจะประสบความสำเร็จแบบผูกขาดในฟุตบอลรายการใหญ่ภายในประเทศ ทั้งแชมป์พรีเมียร์ลีก แชมป์เอฟเอคัพ และลีกคัพ และตลอดช่วงเวลาสำคัญดังกล่าว
นักฟุตบอลคู่บุญ ที่เป็นเหมือนฟันเฟืองชิ้นใหญ่ในการพาทีมเถลิงบัลลังก์แชมป์ ก็คือนักเตะผู้สวมเสื้อหมายเลข 7 มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นจอร์จ เบสต์, ไบรอัน ร็อบสัน, เอริก คันโตน่า, เดวิด เบ็คแฮม และคริสเตียโน่ โรนัลโด้
จุดเริ่มต้น
เดิมทีในประวัติศาสตร์การแข่งขันฟุตบอลในอดีต ด้านหลังของเสื้อที่นักฟุตบอลใช้สวมใส่ลงสนามยังมีเพียงแค่เบอร์เสื้อเท่านั้น ด้วยเหตุผลเพียงเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ตัดสินจดจำนักเตะในสนามได้มากขึ้น การที่นักเตะแต่ละคนในทีมจะสวมเบอร์ไหนก็จะเป็นไปตามตำแหน่งที่ลงเล่นในสนามมากกว่า เบอร์ 1 เป็นผู้รักษาประตูไปจนถึงเบอร์ 11 ที่เป็นกองหน้านั่นเอง ด้วยเหตุนี้จึงยังไม่มีการจับจองเบอร์เสื้อเกิดขึ้นในยุคนั้น
อย่างไรก็ตาม ก็มีนักฟุตบอลผู้บุกเบิกตำนานเบอร์ 7 ให้แก่สโมสรแห่งนี้นั่นก็คือ จอร์จ เบสต์ แม้ว่าจะยังไม่มีการกำหนดเบอร์เสื้อและต้องหมุนเวียนกับนักเตะคนอื่นในทีมก็ตาม แต่ด้วยฝีเท้าระดับพระกาฬ บวกกับผลงานอันน่าตื่นตาตื่นใจตลอดกาลเล่นให้แมนยูไนเต็ด ทำให้จอร์จ เบสต์และภาพการใส่เสื้อสีแดงหมายเลข 7 ในขณะชูถ้วยแชมป์ยุโรปสมัยแรกในปี 1968 และคว้ารางวัลบัลลงดอร์ได้ในปีเดียวกัน กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์และภาพจำให้กับเหล่านักฟุตบอลและแฟนบอลรุ่นหลังนับตั้งแต่นั้น
ไบรอัน ร็อบสัน หรือฉายา “กัปตันมาร์เวล” คือนักเตะคนต่อมาที่เข้ามาสืบทอดตำนานหมายเลข 7 ต่อจากรุ่นพี่หลังจากหมดยุคของจอร์จ เบสต์ การมาของร๊อบสันนำความสำเร็จมาสู่แมนยูไนเต็ดมากมาย โดยเขามักจะขอสวมเสื้อหมายเลข 7 อยู่เป็นประจำเช่นกัน นั่นจึงยิ่งทำให้ภาพจำของแฟนบอลแมนยูไนเต็ดต่อนักเตะผู้สวมเสื้อหมายเลข 7 เริ่มมีมากขึ้น
การเปลี่ยนผ่าน
จนเริ่มก้าวเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านระหว่างฟุตบอลดิวิชั่น 1 สู่พรีเมียร์ชิพ (ก่อนจะกลายเป็นพรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน) นักฟุตบอลหน้าใหม่ที่ย้ายมาจากลีดส์ ยูไนเต็ด พร้อมกับฉายา “เดอะ คิง” และการดึงปกคอเสื้อให้ตั้งขึ้นมาอย่างเอริก คันโตน่า เขาเป็นนักเตะแมนยูไนเต็ดคนแรกที่สวมเสื้อหมายเลข 7 อย่างเป็นทางการ พร้อมกับชื่อที่แปะอยู่เหนือเบอร์ด้านบน ตลอดระยะเวลาการเล่นให้กับสโมสรแห่งนี้ คันโตน่าก็เป็นอีกหนึ่งนักเตะฝีเท้าฉกาจและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นผู้นำ และเป็นพี่เลี้ยงให้แก่รุ่นน้องอย่างคลาส อ็อฟ 92 หรือกลุ่มนักเตะเยาวชนเลือดผีแดง นำทัพโดยเดวิด เบ็คแฮม, ไรอัน กิ๊กส์, พอล สโคลส์, นิกกี้ บัตต์ และพี่น้องเนวิลล์ ที่ต่อมาได้กลายเป็นกำลังหลักของทีม โดยเฉพาะรายแรก ที่ต่อมาได้กลายเป็นผู้สืบทอดตำนานเบอร์เสื้อของเขา
คลาส อ็อฟ 92 (Class of 92) ภายใต้การปลุกปั้นของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำให้นักเตะเหล่านี้เติบโตขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีมได้อย่างโดดเด่น ด้วยวิสัยทัศน์ของท่านเซอร์ที่เล็งเห็นถึงพรสวรรค์ของดาวรุ่งกลุ่มนี้และเลือกจะปลุกปั้นให้ผลิดอกออกผล มากกว่าการจะซื้อนักเตะจากทีมอื่นๆ มาเสริมทัพ ทำให้เดวิด เบ็คแฮม กองกลางในตำแหน่งปีกขวาที่เพิ่งย้ายมาสวมเบอร์ 7 หลังจากการจากไปของพี่ใหญ่อย่างคันโตน่า กลายมาเป็นขวัญใจคนใหม่ของแฟนบอลแมนยูไนเต็ดทั่วโลกได้อย่างง่ายดายภายในเวลาไม่นาน ด้วยหน้าตาอันหล่อเหลาและฝีเท้าระดับชั่งทองในการเตะลูกนิ่งและเปิดบอล อันเป็นอาวุธสุดอันตรายของแมนยูไนเต็ด ส่งผลให้ทีมสามารถประกาศศักดาขวาทริปเปิ้ลแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ในปี 1999 นำมาซึ่งความโด่งดังและการเป็นซุปเปอร์สตาร์ขั้นสุดขีดของเบคแฮม จนในที่สุด 3 ปีให้หลังความบาดหมางระหว่างโค้ชกับนักเตะที่ค่อยๆสะสมมา กลายเป็นรอยร้าวที่ยากจะประสานและเบคแฮมก็เลือกย้ายออกไปจากทีมในที่สุด
กำเนิด คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (CR7)
การมาของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ (Cristiano Ronaldo) เด็กหนุ่มชาวโปรตุเกสวัย 18 ปี ผู้ที่ต้องการสวมเสื้อหมายเลข 28 ที่เขาเคยสวมใส่ให้กับต้นสังกัดเก่า และไม่มีทีท่าว่าต้องการจะสวมใส่เสื้อหมายเลข 7 ที่ว่างอยู่ และก็เป็นเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เห็นถึงศักยภาพของเด็กหนุ่มคนนี้ และมอบเสื้อหมายเลข 7 อันเป็นตำนานของทีมให้ สำหรับเด็กหนุ่มจากลิสบอน เขารู้ดีว่านี่เป็นเหมือนดาบสองคมที่ด้านหนึ่งมันจะผลักดันให้เขากลายเป็นสุดยอดนักเตะระดับโลก และอีกด้านหนึ่งมันจะกลายเป็นความกดดันที่หนักอึ้งจากผลงานของเหล่ารุ่นพี่ที่เคยสวมใส่หมายเลข 7 และความคาดหวังจากแฟนบอลของหนึ่งในสโมสรที่มีฐานแฟนบอลมากที่สุดในโลก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป 6 ฤดูกาล คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามลำดับ สามารถพาแมนยูไนเต็ดคว้าแชมป์มาประดับสโมสรได้มากมาย หนึ่งในนั้นคือการพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกได้เป็นสมัยที่ 3 ในปี 2008 และยังคว้ารางวัลบัลลงดอร์ประกาศศักดาเป็นนักเตะระดับโลกในปีเดียวกัน นับเป็นนักเตะแมนยูไนเต็ดคนที่ 4 ที่สามารถคว้ารางวัลนี้ได้ ต่อจากจอร์จ เบสต์ รุ่นพี่ผู้สวมเสื้อหมายเลข 7 เมื่อ 40 ปีก่อนเช่นเดียวกันเขานั่นเอง นี่จึงทำให้โรนัลโด้กลายเป็นนักเตะที่แฟนบอลรักไม่ต่างจากเหล่ารุ่นพี่ตำนานเบอร์ 7 คนอื่นๆ หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำสำหรับแฟนบอลรุ่นหลัง
ความฝันและสิ่งที่ฝากไว้
คริสเตียโน่ โรนัลโด้เลือกที่จะย้ายทีมออกไปทำตามความฝันในปี 2009 ทิ้งไว้เพียงมาตรฐานอันสูงลิ่วในฐานะตำนานเบอร์ 7 ของทีม ตลอด 12 ปีหลังจากนั้น มีนักเตะมากมายย้ายมาค้าแข้งกับแมนยูไนเต็ดและสวมเสื้อเบอร์ 7 แต่ก็มีผลงานไม่เป็นชิ้นเป็นอัน บ้างก็มีผลงานระดับปานกลางบ้างก็จัดว่าล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นไมเคิล โอเว่นและอันโตนิโอ วาเลนเซีย ในช่วงท้ายการคุมทีมของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, อังเคล ดิ มาเรีย, เมมฟิส เดปาย, อเล็กซิส ซานเชซ ในยุคของเดวิด มอยส์ หลุย ฟานกัล และโชเซ่ มูริญโย่ และเอดินสัน คาวานี่ ในยุดของโอเล่ กุนน่า โซลชาร์ โดยในรายหลังถือว่าทำผลงานได้ดี แต่ด้วยอายุอานามที่มากจึงไม่สามารถเป็นตัวหลักของทีมได้อย่างสม่ำเสมอ
ทางกลับบ้านของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
การกลับมาเขย่าวงการพรีเมียร์ลีกอีกครั้งของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ด้วยปฏิบัติการกระชากตัวแบบสายฟ้าแลบ
นาทีที่สโมสรประกาศคว้าตัว “พี่โด้” ทำเอาแฟนบอลแมนยูไนเต็ดทั่วโลกกระโดดโลดเต้นดีใจด้วยความปลื้มปริ่มที่ได้เห็นยอดดาวเตะอันเป็นที่รักกลับมาสวมเสื้อหมายเลข 7 ที่โรงละครแห่งความฝันของแมนยูไนเต็ดอีกครั้ง
ซึ่งต้องชื่นชมไปยังเอดินสัน คาวานี่ ที่รู้ดีถึงความปรารถนาของแฟนบอลทำให้การกลับบ้านครั้งนี้ของโรนัลโด้ในวัย 36 ปีเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ และกลายเป็นปรากฎการณ์ ด้วยสถิติยอดขายเสื้อเปิดตัวสูงสุดตลอดกาลที่ 187.1 ล้านปอนด์ แซงหน้ายอดขายเสื้อของ ลิโอเนล เมสซี่ กับปารีส แซงต์แฌร์แมง ที่ขายได้ 103.8 ล้านปอนด์
เป้าหมายและความหวัง
ด้วยการดูแลสภาพร่างกายที่ดีเยี่ยมแม้ในวัย 36 ปี ต้องมาดูกันว่าการกลับมายังโรงละครแห่งความฝัน (Theater of Dreams) อันเป็นสมญานามอันสนามโอล์ด แทรฟฟอร์ดแห่งนี้นั้น คราวนี้ของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในฐานะ “ผู้สานต่อตำนานเบอร์ 7 ของตนเองและของสโมสร” จะสามารถพาแมนยูไนเต็ดไปได้ไกลแค่ไหน
ติดตามคอนเทนท์ไลฟ์สไตล์อื่นๆ ของกระผมได้ที่ คลิ๊ก
และที่เฟสบุ๊ค คลิ๊ก