ฟุตบอลยูโร 2024 ก็ได้คู่ชิงแชมป์ที่สมศักดิ์ศรีแล้วคือ ทีมชาติสเปน ที่จะพบกับ ทีมชาติอังกฤษ คืนวันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม 2567 เวลา 02.00 น. ณ สนามโอลึมพีอาชตาดีอ็อน กรุงเบอร์ลิน
สำหรับ สเปน นั้นสไตล์การทำทีมของผู้จัดการทีมคนปัจจุบันถือว่าทันสมัยมาก เพราะไม่เล่นบอลสไตล์ทิกิทาก้าที่เน้นการครองบอลเป็นหลักอันน่าเบื่อหน่าย แต่หันไปเน้นความเร็วของปีกผ่านผู้เล่นปีกซ้ายและขวาซึ่งกำลังเป็นดาวรุ่งอย่างลามีน ยามาล และ นิโก วิลเลียม โดยเฉพาะลามีนนั้นถึงกับได้ชื่อว่าเป็นนิวแมสซีที่ทีมบาเซลโลนาได้ตั้งเงื่อนไขค่าฉีกสัญญาหากย้ายทีมไว้ที่ 1,000 ล้านยูโร และถือว่าเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดในบอลยูโรครั้งนี้
ทีมสิงโตคำราม อังกฤษ เข้ามาแข่งขันยูโร รอบสุดท้าย ทั้งหมด 11 ครั้ง แต่เพิ่งผ่านเข้าชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งที่ 2 เท่านั้น แต่ก็เป็นการเข้าชิงติดต่อกัน หลังจากที่เคยเข้าชิงในศึกยูโร 2020 (แข่งขันในปี 2021) ก่อนจะไปพ่าย อิตาลี ในการดวลจุดโทษ ได้แค่รองแชมป์เท่านั้น
อังกฤษ จะได้ลุ้นแชมป์หนแรกของตัวเอง หลังจากผลงานที่ดีที่สุดคือการเป็นรองแชมป์ศึกยูโร 2020 (แข่งขันในปี 2021) เท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเข้าชิงครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่สามารถเข้าชิงนอกเกาะอังกฤษได้ หลังจากหนก่อนรอบชิงชนะเลิศแข่งขันกันที่สนามเวมบลีย์ ประเทศอังกฤษ
ถ้าหากว่าทีมฟุตบอลคือศาสนาใหม่ของมนุษย์ ที่ประกอบด้วยโค้ชเป็นศาสดาและนักเตะผู้ถ่ายทอดคำสอนส่วนคนดูเป็นสาวก โดยมีเงินเดิมพันมหาศาลเป็นตัวหล่อเลี้ยง ก็ถือว่าบอลยูโรเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ตอกย้ำความสำคัญของศาสนาทางโลกให้ดำเนินต่อไปภายใต้ขอบเขตของทุนนิยมโลก
หลังจากการแข่งขันบอลยูโรซึ่งไม่ว่าทีมชาติไหนจะชนะ โลกของฟุตบอลก็จะยังดำเนินต่อไปไม่ว่าระดับสโมสรหรือบอลทีมชาติที่จะยังมีทั้งข่าวการย้ายทีมของนักเตะ การเปลี่ยนผู้จัดการทีม หรือการเปลี่ยนเทคนิคใหม่ ๆ ของการบริหารจัดการทีมที่จะปรากฏในสื่อต่าง ๆ ให้สาวกได้ติดตาม
จะเห็นได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเสน่ห์ของฟุตบอลซึ่งเป็นกีฬาประเภทหนึ่งที่มีวิวัฒนาการให้ผู้คนติดตามในฐานะสินค้าทางวัฒนธรรมเฉกเช่นเรื่องราวในโลกบันเทิง เพียงแต่ความสำคัญของ ฟุตบอลยูโร 2024 ที่มีการพูดพร่ำถึงการสิ้นสุดยุคสมัยของนักเตะในระดับตำนานอย่างโทนี โครส ของเยอรมนี ลูกา โมดริช ของโครเอเชีย คริสเตียนโน โรนัลโด ของโปรตุเกส แล้วเริ่มยุคใหม่ของนักเตะอย่าง จามาล มูเซียลา ของเยอรมนี และ ลามีน ยามาล ของสเปน และอาร์ดา กือแลร์ ของตุรกีและจูดเบริงแฮมของอังกฤษ ก็ทำให้บอลยูโร 2024 มีความหมายมากขึ้นในเชิงประวัติศาสตร์